การติดตั้ง DHCP Server บน Windows Server 2003
การกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสให้กับเครื่อง Client บนระบบเครือข่ายนั้น เป็นหน้าที่หนึ่งของ Admin ในกรณีที่เครื่อง Client มีจำนวนไม่มาก ตั้งอยู่ในห้องเดียวกันหรือในบริเวณใกล้ๆ กัน การกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสแบบแมนนวลนั้นก็สามารถทำได้โดยไม่มีความซับซ้อนอะไร แต่ถ้าเครื่องไคลเอนต์มีจำนวนมาก และตั้งอยู่หลายที่หรือห่างไกลกันการกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสแบบแมนนวลนั้นคงเป็นเรื่องยาก การแก้ปัญหาเรื่องการกำหนดหมายเลขไอพีแอดเดรสแบบอัตโนมัติโดยใช้บริการแจกจ่ายหมายเลขไอพีให้เครื่อง Client ด้วย DHCP Server ซึ่งเป็นฟีเจอร์หนึ่งที่มีใน Windows Server 2003
การติดตั้ง DHCP Server
บริการ DHCP Server นั้น ก็เหมือนกับบริการอื่นๆ ของ Windows Server2003 คือจะไม่ถูกติดตั้งโดย Default โดยวิธีการติดตั้ง DHCP Server นั้น ให้ไปที่ Manage Your Server แล้วคลิกที่ Add or remove role จะได้หน้าต่าง Configure Your Wizard ซึ่งจะช่วยในการ
Add or remove a role
ขั้นตอนการติดตั้ง DHCP Server
การติดตั้ง DHCP Server มีขั้นตอนดังนี้
1. ในหน้าต่าง Manage Your Server ให้คลิกที่ Add or remove a role
2. ในหน้าต่าง Preliminary Steps ให้คลิกปุ่ม Next
3. ในหน้าต่าง Server Role ให้คลิกเลือก DHCP Server แล้วคลิกปุ่ม Next
4. ในหน้าต่าง Summary of Selections ให้คลิกปุ่ม Next
5. ในหน้าต่าง Configuring Components ให้รอจนระบบทำงานเสร็จเรียบร้อย แล้วให้คลิก Next
6. ในหน้าต่าง Applying Selections ระบบจะทำการเพิ่ม Role ให้กับ Server ให้รอจนกว่าระบบงานเสร็จเรียบร้อย แล้วให้คลิก Next
7. ในหน้าต่าง Welcome to the New Scope Wizard คลิก Cancel ออกจากการสร้าง Scope แล้วให้เลือก Finish
การจัดการ DHCP Server
การจัดการ DHCP Server จะใช้สแนป-อิน DHCP Server โดยให้ไปที่ Manage Your Server
แล้วคลิกที่ Manage this DHCP Server ซึ่งจากหน้าต่าง DHCP Server Adminสามารถทำจัดการด้านต่างๆ เช่น สร้าง Scope ใหม่ (New Scope) แก้ไข Option Scope เป็นต้น
การสร้าง Scope ใหม่
สโคป (Scope) หมายถึง ช่วงของหมายเลขไอพีแอดเดรส (IP Address) สำหรับแจกจ่ายให้กับClient ที่อยู่ในระบบเครือข่าย โดยนอกเหนือจากหมายเลข IP Address แล้ว เรายังสามารถกำหนดค่า Option ต่างๆของ Scope เพื่อนำไปกำหนดให้ Client กับเครื่องได้ด้วย โดย
Option ของ Scope นั้นจะเป็นค่าพารามิเตอร์เสริมต่าง ๆ เช่น หมายเลขไอพีแอดเดรสของ Default Gateway หมายเลขไอพีแอดเดรสของ DNS Server เป็นต้น
การสร้าง Scope ใหม่
ขั้นตอนการสร้าง DHCP Scope
1. คลิกขวาที่ชื่อ DHCP Server แล้วเลือก New Scope
2. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Scope Name ให้ตั้งชื่อของสโคปในช่อง Name ควรตั้งชื่อให้ให้สื่อความหมายเพื่อให้ง่ายต่อการจำในส่วนของช่อง Description จะเป็นคำอธิบายจะใส่หรือไม่ก็ได้ เสร็จแล้วคลิก Next
3. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ IP Address Range ให้กำหนดช่วงของหมายเลขไอพีแอดเดรส
โดยระบุแอดแดรสเริ่มต้นในช่อง Start IP address และระบุแอดแดรสสุดท้ายในช่อง End address ในช่อง Length นั้นเป็นจำนวนบิตของ Subnet Address ในที่นี้เท่ากับ 24 (255.255.255.0)
ซึ่งเป็นค่า Default ของ Subnet mask โดยสามารถปรับแต่งจำนวนบิตของค่าของ Subnet mask ได้ตามการออกแบบเครือข่าย เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next
4. ในหน้าไดอะล็อกบ็อกซ์ Add Exclusions ให้ใส่ช่วงหมายเลขไอพีแอดเดรสที่ไม่ต้องการให้อยู่ในสโคปคลิก Add เสร็จแล้วคลิก Next
5. ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Lease Duration ให้กำหนดระยะเวลาที่เครื่องไคลเอนต์สามารถใช้งานหมายเลขไอพีแอดเดรสจากสโคปนี้ได้ โดยปกติค่า Default ของ Lease Duration จะเป็น 8 วัน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ตามต้องการ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Next
6. ระบบจะถามว่าต้องการเซต Scope Option เลยหรือไม่ ให้เลือก Yes แล้วคลิกปุ่ม Next
7. ให้ใส่ค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสของ Default Gateway, หมายเลขไอพีแอดเดรสของ
DNS Server เมื่อมีไดอะล็อกบ็อกซ์ถามตามลําดับ
8. ระบบจะถามว่าต้องการแอคติเวต (Activate) สโคปนี้เลยหรือไมการแอคติเวตคือการเปิดการใช้งาน Scope เพื่อให้เครื่อง Client สามารถขอหมายเลขไอพีแอดเดรสที่อยูในสโคปดังกล่าวได้
ให้เลือก Yes แล้วคลิก Next เพื่อทำการแอคติเวต
9. เมื่อทำการแอคติเวต (Activate ) สโคปแล้ว จะต้องทำการ Authorize DHCP server ก่อนเพื่อให้อำนาจในการจ่ายหมายเลขไอพีแอดเดรสให้กับเครื่อง Client โดยให้คลิกขวาที่
DHCP server แล้วเลือกเมนู Authorize ซึ่งจะทำการเพิ่มชื่อ DHCP server เข้าใน
Authorized list ของฐานข้อมูล Active Directory
การทดสอบการทำงานของ DHCP Server
การทดสอบว่าบริการ DHCP server ที่ติดตั้ง สามารถใช้งานได้หรือไม่นั้น ต้องทดสอบจากเครื่อง Client คอมพิวเตอร์ที่อยู่บนเครือข่าย โดยในที่นี้จะยกตัวอย่างเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP
การคอนฟิก Windows XP ให้รับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสจาก DHCP Server
1. คลิกขวาที่ My Network Places แล้วเลือก Properties
2. ในหน้าต่าง Network Connection ให้คลิกขวาที่ Local Area Connection แล้วเลือก Properties
3. ในหน้าต่าง Area Connection Properties ให้เลือกที่ Internet Protocol (TCP/IP) แล้วคลิก Properties
4. ในหน้าต่าง Internet Protocol (TCP/IP) Properties โดย default จะตั้งค่าเป็น Obtain an IP address Automatically และ Obtain DNS server address Automatically
5. คลิก OK เพื่อปิดหน้าต่าง Internet Protocol (TCP/IP) Properties
6. คลิก OK เพื่อปิดหน้าต่าง Area Connection Properties และจบการตั้งค่า IP Addressการตรวจสอบการรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสของเครื่องไคลเอนต์
การตรวจสอบว่าเครื่องไคลเอนต์การรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสได้หรือไม่นั้น
สามารถทำได้โดยใช้คำสั่ง ipconfig ซึ่งเป็นคำสั่งที่รันจากคอมมานด์พร็อมพ์โดยการเรียกใช้งานนั้นทำได้ตามขั้นตอนดังนี้
1. คลิก Start คลิก run พิมพ์ cmd ในช่อง Open แล้วกด enter
2. ในหน้าต่างคอมมานด์พร็อมพ์ให้พิมพ์ ipconfig /? แล้วกด enter เพื่อดูคำสั่งต่างๆ ที่สามารถใช้ได้
ตัวอย่าง: การใช้คำสั่ง ipconfig ตรวจสอบการรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรส
- ดูค่า IP Address ของเครื่อง ให้รันคำสั่ง ipconfig ที่คอมมานด์พร็อมพ์
C:\>ipconfig
Windows IP Configuration
Connection-specific DNS Suffix . :
IP Address. . . . . . . . . . . . : 192.168.10.56
Subnet Mask . . . . . . . . . . . : 255.255.255.0
Default Gateway . . . . . . . . . : 192.168.10.1
C:\>
- ดูค่า IP Address ของเครื่องอย่างละเอียด ให้รันคำสั่ง ipconfig /all ที่คอมมานด์พร็อมพ์
C:\>ipconfig /all
Windows IP Configuration
Host Name . . . . . . . . . . . . : WinXP
Primary Dns Suffix . . . . . . . :
Node Type . . . . . . . . . . . . : Unknown
IP Routing Enabled. . . . . . . . : No
WINS Proxy Enabled. . . . . . . . : No
Connection-specific DNS Suffix . :
Description . . . . . . . . . . . : WAN (PPP/SLIP) Interface
Physical Address. . . . . . . . . : 00-53-45-00-00-00
Dhcp Enabled. . . . . . . . . . . : No
IP Address. . . . . . . . . . . . : 192.168.10.56
Subnet Mask . . . . . . . . . . . : 255.255.255.0
Default Gateway . . . . . . . . . : 192.168.10.1
DNS Servers . . . . . . . . . . . : 203.xxx.x.x
Primary WINS Server . . . . . . . : 203.xxx.x.x
NetBIOS over Tcpip. . . . . . . . : Disabled
C:\>
- ยกเลิกค่า IP Address ที่ได้จาก DHCP ให้รันคำสั่ง ipconfig /release ที่คอมมานด์พร็อมพ์C:\>ipconfig /release
Windows IP Configuration
The operation failed as no adapter is in the state permissible forthis operation.
C:\>
- ขอรับค่า IP Address ที่ได้จาก DHCP ใหม่ ให้รันคำสั่ง ipconfig /renew ที่คอมมานด์พร็อมพ์การทดสอบการทำงาน ทดสอบโดยการใช้คำสั่ง ping ไปยังหมายเลขไอพีแอดเดรสของ Default Gateway หรือของเครื่องใกล้เคียง หากได้รับข้อความตามลักษณะของตัวอย่างที่ 1 (Reply from x.x.x.x: bytes=32 time=xxms TTL=255) แสดงว่าการรับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสจาก DHCP เซิร์ฟเวอร์ น่าจะถูกต้อง หากได้รับข้อความตามลักษณะของตัวอย่างที่ 2 (Request timed out.) อาจเป็นไปได้ว่าการตั้งค่าไม่ถูกต้อง แต่หากได้รับข้อความตามลักษณะของตัวอย่างที่ 3 (Destination host unreachable) แสดงว่าเครื่อง Client ยังไม่ได้รับค่าหมายเลขไอพีแอดเดรสจาก DHCP เซิร์ฟเวอร์
ตัวอย่างที่ 1:C:\>ping 192.168.2.35
Pinging 10.1.1.1 with 32 bytes of data:
Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=173ms TTL=255
Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=281ms TTL=255
Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=343ms TTL=255
Reply from 192.168.2.35: bytes=32 time=265ms TTL=255
Ping statistics for 192.168.2.35:
Packets: Sent = 4, Received = 4, Lost = 0 (0% loss),
Approximate round trip times in milli-seconds:
Minimum = 173ms, Maximum = 343ms, Average = 265ms
C:\>
ตัวอย่างที่ 2:
C:\>ping 192.168.2.35
Pinging 192.168.2.35 with 32 bytes of data:
Request timed out.Request timed out.
Request timed out.Request timed out.
Ping statistics for 192.168.2.35:
Packets: Sent = 4,Received = 0, Lost = 4 (100% loss),
C:\>
ตัวอย่างที่ 3:
C:\>ping 192.168.2.35
Pinging 192.168.2.35 with 32 bytes of data:
Destination host unreachable.
Destination host unreachable.
Destination host unreachable.
Destination host unreachable.
Ping statistics for 192.168.2.35:
Packets: Sent = 4, Received = 0, Lost = 4 (100% loss),
C:\>
หลักการทำงานของ DHCP Server
โปรโตคอลที่ใช้ในการทำงานของ DHCP ส่วนใหญ่เป็นลักษณะบรอดคาสต์ ซึ่งกระบวนการจ่าย IP Address นี้ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ที่ Client กับ Server จะติดต่อกันจนกระทั่งสุดท้าย Client DHCP ได้รับไอพีแอดเดรสที่ไม่ซ้ำกับ Host อื่นๆ ตลอดจนค่าConfiguration อื่นมาใช้งาน มีดังต่อไปนี้
1. DHCPDiscover เริ่มจากเมื่อเปิดเครื่อง Client ขึ้นมา ก็จะถูกกำหนดให้ Obtain an IP address automatically ในหน้าจอ TCP/IP Properties ก็จะบรอดคาสต์เมสเสจ DHCPDISCOVER ออกไป ซึ่งจะไปถึงยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กเซกเมนต์ และยังส่งหมายเลขแอดเดรส MAC ของการ์ดเน็ตเวิร์ก และชื่อแบบ NetBIOS ของเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย
2. DHCPOffer เครื่อง DHCP Server บอก Client ว่าตัวเองสามารถจัดสรร IP Address ให้ได้ เมจเสจของเซิร์ฟเวอร์เครื่องใดไปถึงยัง Client ก่อนก็จะถูกเลือกใช้งานโดย Client (First-Come-First Serve)3. DHCPRequest เป็นการตอบรับไปยังเซิร์ฟเวอร์ ตอนนี้ไคลเอนต์เองก็ยังไม่ได้รับ
ไอพีแอดเดรส ดังนั้นการตอบกลับนี้ก็ยังจำเป็นต้องเป็นแบบ “บรอดคาสต์”
4. DHCPAck เมื่อได้รับข้อมูลยืนยันเรียบร้อยแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะตอบกลับไปยัง Client ประกอบด้วยข้อมูล IP Address ที่จัดสรรให้ไคลเอนต์ ตลอดจนค่า Configuration อื่นๆ
การต่ออายุการใช้สิทธิ IP Address ของไคลเอนต์ (Lease Renewal Process)
เนื่องจากมีข้อกำหนดเรื่องเวลาการใช้ IP Address ที่จัดให้ Client แต่ละเครื่องอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากจะมี IP Address มากพอจนสามารถกำหนดระยะเวลาอนุญาตให้ใช้
IP Address ได้ไม่จำกัด ดังนั้นโดยปกติทุกๆช่วงเวลา Client ต้องตรวจสอบกลับไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ DHCP ที่จัดไอพีแอดเดรสมาให้เพื่อขอต่ออายุเวลาการใช้งาน อีกทั้งยังได้รับค่า
Configuration ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอีกด้วย เราเรียกกระบวนการนี้ว่า Lease Renewal ซึ่งสามารถทำงานได้หลายวิธีคือ
กระบวนการแบบอัตโนมัติ
กระบวนการ Lease Renewal แบบอัตโนมัตินั้นจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอที่ Client เมื่อระยะเวลาที่อนุญาตให้ใช้ผ่านไปแล้ว 50% ดังนั้น Client จะเริ่มพยายามขอต่ออายุสิทธินี้หลังจากผ่านไปแล้ว 4 วัน ถ้าเวลาทั้งหมดเป็น 8 วัน การต่ออายุนี้จะเริ่มในขั้นตอนที่ 3 ของ DHCP Lease Generation Process คือเริ่มตั้งแต่ DHCPREQUEST เป็นต้นไป
กระบวนการแบบแมนนวล
กระบวนการนี้จะทำโดยผู้ใช้งานเองผ่านการพิมพ์คำสั่งที่ Command Line ซึ่งจำเป็นในบางสถานการณ์ เช่นจำเป็นต้องให้ Client ได้รับ Configuration ใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ DHCP ในทันที
กระบวนการแบบไดนามิค
วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่สามารถนำหมายเลขไอพีมาใช้ซ้ำได้ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกเปิดเครื่องและเริ่มทำงาน เครื่องลูกข่ายจะขอหมายเลขไอพีจากเซิร์ฟเวอร์โดยอัตโนมัติ วิธีนี้ต่างกับแบบอัตโนมัติตรงที่ IP Address ในการทำงานแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นเลขเดิม
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
กลยุทธ์ในองค์กร
การระบุเกี่ยวกับกลยุทธ์
ในแผนธุรกิจที่มีโครงสร้างมาจากแผนกลยุทธ์ มักจะปรากฏมีหัวข้อหลักของคำว่า "กลยุทธ์" ซึ่งในหลักของการจัดทำแผนกลยุทธ์ จะมีระดับของกลยุทธ์อยู่ 3 ระดับ คือ กลยุทธ์องค์กร กลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์ปฏิบัติการ ซึ่งปัญหาที่พบเห็นได้อยู่เสมอคือ ผู้ประกอบการหรือผู้จัดทำแผนไม่ทราบว่าจะระบุรายละเอียดตามหัวข้อดังกล่าวอย่างไร หรือไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว หรือรายละเอียดที่ระบุไม่ถูกต้องตามความหมายในเรื่องของระดับกลยุทธ์ที่ระบุนั้น โดยในความหมายในการระบุระดับของกลยุทธ์ จะประกอบด้วย
กลยุทธ์องค์กร เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นตามนโยบายหรือเป้าหมายที่ต้องการขององค์กรประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านการเจริญเติบโต กลยุทธ์ปรับเปลี่ยนเพื่อให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์เพื่อความมั่นคง หรือกลยุทธ์ในการเลิกกิจการบางอย่าง
กลยุทธ์ธุรกิจ เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์องค์กรซึ่งมาจากนโยบายหรือเป้าหมายที่กำหนดประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านต้นทุนต่ำ กลยุทธ์การมุ่งเน้น กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง
กลยุทธ์ปฏิบัติการ เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นในฝ่ายงานต่างๆขององค์กร ให้เป็นไปตามกลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์องค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุ วิสัยทัศน์ ภารกิจ และเป้าหมายที่กำหนดไว้ประกอบด้วย แผนการตลาด แผนการผลิตหรือการดำเนินการ แผนด้านทรัพยากรบุคคล และแผนการเงิน
ความหมายของกลยุทธ์ในองค์กร
กลยุทธ์ขององค์กร หมายถึง การที่องค์กรได้แสดงความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยใช้วิธีการริหารที่องค์กรไปเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่มีกลุ่มต่าง ๆ ตัวบุคคล องค์กรอื่นและสถาบันประเภทอื่นทั้งหลายที่อยู่ภายในองค์กรและนอกองค์กร
การบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพมีเรื่องที่สำคัญที่ต้องพิจารณา 2 ประการคือ
ประการแรก ผู้บริหารต้องเข้าใจถึงลักษณะสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
ประการที่สอง ผู้บริหารต้องเข้าใจว่า องค์กรสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมอย่างไร โดยพิจารณาในแง่ของการพิจารณาปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ตามความหมายของพฤติกรรมองค์กร
การจัดชุดของทรัพยากรที่จะใช้งานในองค์กร
ในการจัดชุดทรัพยากรเพื่อใช้ในการบริหาร องค์กรจะมีวิธีการจัดที่แตกต่างกันออกไป โดยทรัพยากรต่าง ๆ สามารถที่จะนำมาพลิกแพลงและจัดทำขึ้นเพื่อสนองต่อแผนงานในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปสุดแต่ความเหมาะสม เช่น
อาจจะจัดเพื่อมุ่งให้เกิดการสนใจต่อผลิตภัณฑ์ หรือจัดเพื่อทุ่มเทมุ่งสู่ตลาดใดตลาดหนึ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ หรืออาจจะจัดขึ้นเพื่อทุ่มเทไปกับเทคโนโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ หรืออาจจะนำมาใช้กระจายไปยังสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาให้ครบทุกด้าน
กลยุทธ์ในฐานะเป็นเครื่องมือสำหรับใช้จัดให้สภาพแวดล้อมสอดคล้องกับทรัพยากร
การกำหนดจุดมุ่งหมายและนโยบายที่เกี่ยวกับความต้องการจะของบริษัทและธุรกิจที่บริษัทจะดำเนินนั้นเอง จากที่กล่าวมา ถ้าหากนำมากำหนดเป็นกรอบการคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์แล้ว จะปรากฏตามรูปแบบต่างๆ องค์กรจะมีการพิจารณาวิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพื่อที่ดูถึงข้อจำกัดต่างๆ ความต้องการและโอกาสต่างๆ ที่มีอยู่ การตรวจสอบสภาพแวดล้อมนี้ ในบางครั้งอาจจะมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดและจัดทำเป็นระบบ
กลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพ
กลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพที่จะทำให้การบริหารสามารถประสบผลสำเร็จได้อย่างดีในทุกสถานการณ์ และทุกเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมนั้น ลักษณะจะเป็นดังนี้ คือ
1. เป็นการบริหารเชิงรวมที่กระทำอย่างเป็นระบบที่มีการบริหารครบสมบูรณ์ทุกด้าน
2. เป็นการบริหารที่พร้อมสมบูรณ์ด้วย "แผนงาน" ที่มีประสิทธิภาพ ที่ซึ่งระบุออกมาโดยอาศัย "เป้าหมาย" (goals) เป็นเครื่องมือ แผนงานที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการให้ผู้ปฏิบัติได้มีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดเป้าหมายเหล่านี้ด้วย
3. เป็นการบริหารที่พร้อมสมบูรณ์ด้วย เทคนิคการจัดทำแผน การวัดผล การจูงใจ การควบคุม
การพัฒนานักบริหาร และการสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ได้อีกด้วย
ตามลักษณะทั้งสามประการข้างต้น ถ้าจะนำมาพิจารณาจัดทำเป็นกลยุทธ์การบริหารในทางปฏิบัติแล้ว อาจแยกเป็น "กลยุทธ์การบริหาร" ประการต่าง ๆ ดังนี้คือ
1. การใช้วิธีการบริหารอย่างเป็นระบบโดยอาศัย การบริหารโดยเป้าหมาย (MBO) เป็นเครื่องมือ
2. การอาศัย "แผนกลยุทธ์" เป็นเครื่องมือเสริมสร้างประสิทธิภาพผลผลิตระยะยาว
3. การใช้โครงสร้างเป้าหมายผลสำเร็จเป็นตัวเร่งผลผลิต
4. การอาศัยกระบวนการร่วมวางแผน และตั้งเป้าหมาย เพื่อให้พนักงานผูกพันต่อเป้าหมายผลสำเร็จ
5. การใช้วิธีจูงใจคนเพื่อเพิ่มผลผลิต
6. การอาศัยระบบการควบคุมแบบสร้างสรรค์
7. การเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการวางแผนทรัพยากรบุคคล และพัฒนาความสามารถทางการบริหาร
8. การเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยวิธีเสริมขวัญและกำลังใจ โดยอาศัยการให้โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่งานบริหาร
9. การใช้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพจากการบริหารพฤติกรรมองค์การโดยส่วนรวม
10. การเพิ่มประสิทธิภาพโดยการเรียนรู้และเอาชนะคู่แข่งขัน
11. การสร้างประสิทธิภาพ โดยปรับการบริหารให้สอดคล้องกับปัญหาในอนาคต
กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ละประการตามที่กล่าวข้างต้นนี้ อาจกล่าวได้ว่า ก็คือ การบริหารเชิงรวมที่เป็นภารกิจทางการบริหารของผู้บริหารที่มีอยู่เป็นพิเศษ ก็คือ
1. การใช้วิธีบริหารแบบมุ่งหมาย (goal-oriented management) เป็นสำคัญ ทั้งนี้ก็เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ประสบปัญหาวิกฤตินั้น ประสิทธิภาพผลผลิตที่ทำได้จะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่นักบริหารจะต้องวัดผล และติดตามตลอดเวลา การตั้งเป้าหมายผลสำเร็จที่ต้องการ และการติดตามผลงานที่ทำได้ต่างก็ต้องอาศัย เป้าหมายเป็นเครื่องมือที่จะขาดเสียมิได้
2. การจัดระบบการวางแผนที่สมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้องค์การ มีความเข้มแข็งจากการมีระบบการวางแผนกลยุทธ์สำหรับระยะยาว รวมทั้งการมีระบบการวางแผนที่สามารถระบุเป้าหมายผลสำเร็จต่าง ๆ ที่จะสามารถนำมาใช้บริหารงาน เพื่อผลสำเร็จร่วมกันทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายปฏิบัติ
3. การจัดระบบการบริหารงานในขั้นปฏิบัติที่ดีพร้อม นั่นคือ การใช้ระบบการวัดผล ประเมินผล การจูงใจทรัพยากรบุคคล ตลอดจนระบบการควบคุม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการเสริมสร้างประสิทธิภาพผลผลิตให้สูงขึ้นได้ตลอดเวลา
บรรยากาศในองค์กร
บรรยากาศในองค์กร จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย
ที่กำหนดไว้ ดังนี้
1. ความไว้วางใจ ความเชื่อถือ และความมั่นคงของบุคลากรทุกระดับ
2. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
3 .การให้การสนับสนุน
4. ความเปิดเผยในการสื่อสารจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
5. การรับฟังความคิดเห็นจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน
นักวิชาการหลายท่านได้เสนอบรรยากาศขององค์กรที่มีผลกระทบต่อการรับรู้ที่นำไปสู่การลงความคิดเห็นเกี่ยวกับบรรยากาศขององค์กร
บรรยากาศในองค์กรและความพึงพอใจในการทำงาน
บรรยากาศในองค์กร จะนำไปสู่ความพึงพอใจในการทำงาน เมื่อบุคลากรมีความสัมพันธ์
อันดีระหว่างกัน มีความเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์กรเป็นอย่างดี มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันสูง ย่อมส่งผลถึงการมีบรรยากาศในการทำงาน มีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น ผลงานดีขึ้น โดยที่บุคลากรไม่เบื่อหน่ายในการทำงาน และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี
การสร้างบรรยากาศในองค์กรกับความก้าวหน้าของบุคลากร
การสร้างบรรยากาศในองค์กรกับความก้าวหน้าของบุคลากร และการพัฒนาองค์กรจำเป็นต้องมีลำดับขั้นตอนในการดำเนินงาน เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กร ซึ่งพอสรุปได้ คือ
1. องค์กรควรจะกำหนดแผนระยะยาว ซึ่งในแผนนั้นจะต้องมีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง
2. องค์กรจะต้องกำหนดความต้องการด้านกำลังคนจากวัตถุประสงค์และเป้าหมาย เพื่อบุคลากรคนปัจจุบันจะได้เตรียมตัว หรืออาจแสวงหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อความก้าวหน้าในการทำงานของเขา
3. องค์กรควรทำการสำรวจบุคลากรที่มีอยู่ เพื่อจะได้รู้ว่าปัจจุบันมีกำลังคนลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร
4. องค์กรควรคำนึงถึงกำลังคนที่มีปัจจุบัน กับความต้องการกำลังคนขององค์กรในกิจการงานที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อจะได้จัดคนให้เหมาะสมกับงานหรือหน้าที่
5. องค์กรควรจะกำหนดโครงการฝึกอบรมตามความต้องการ เพื่อส่งเสริมบุคลากรให้มีความก้าวหน้าในการทำงาน หรือปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือการสรรหาบุคลากรเพิ่มเติมตามความจำเป็นขององค์กร
6. องค์กรควรจะสื่อสารบอกกล่าวให้บุคลากรรู้ถึงความต้องการกำลังคนประเภทต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรได้มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองเสมอ
7. องค์กรควรจัดรับสมัคร สัมภาษณ์ คัดเลือก และตระเตรียมบุคลากรให้อยู่ในสภาพพร้อมที่ทำงาน จัดทำคำบรรยายลักษณะงานไว้อย่างชัดเจน วางแผนงานให้เหมาะสมตามสภาพกำลังคนที่มีอยู่ และที่รับเข้ามาใหม่
8. องค์กรควรมีระบบตรวจสอบการสื่อภายใน เพื่อรักษาบรรยากาศขององค์กร
ในแผนธุรกิจที่มีโครงสร้างมาจากแผนกลยุทธ์ มักจะปรากฏมีหัวข้อหลักของคำว่า "กลยุทธ์" ซึ่งในหลักของการจัดทำแผนกลยุทธ์ จะมีระดับของกลยุทธ์อยู่ 3 ระดับ คือ กลยุทธ์องค์กร กลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์ปฏิบัติการ ซึ่งปัญหาที่พบเห็นได้อยู่เสมอคือ ผู้ประกอบการหรือผู้จัดทำแผนไม่ทราบว่าจะระบุรายละเอียดตามหัวข้อดังกล่าวอย่างไร หรือไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว หรือรายละเอียดที่ระบุไม่ถูกต้องตามความหมายในเรื่องของระดับกลยุทธ์ที่ระบุนั้น โดยในความหมายในการระบุระดับของกลยุทธ์ จะประกอบด้วย
กลยุทธ์องค์กร เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นตามนโยบายหรือเป้าหมายที่ต้องการขององค์กรประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านการเจริญเติบโต กลยุทธ์ปรับเปลี่ยนเพื่อให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์เพื่อความมั่นคง หรือกลยุทธ์ในการเลิกกิจการบางอย่าง
กลยุทธ์ธุรกิจ เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์องค์กรซึ่งมาจากนโยบายหรือเป้าหมายที่กำหนดประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านต้นทุนต่ำ กลยุทธ์การมุ่งเน้น กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง
กลยุทธ์ปฏิบัติการ เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นในฝ่ายงานต่างๆขององค์กร ให้เป็นไปตามกลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์องค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุ วิสัยทัศน์ ภารกิจ และเป้าหมายที่กำหนดไว้ประกอบด้วย แผนการตลาด แผนการผลิตหรือการดำเนินการ แผนด้านทรัพยากรบุคคล และแผนการเงิน
ความหมายของกลยุทธ์ในองค์กร
กลยุทธ์ขององค์กร หมายถึง การที่องค์กรได้แสดงความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยใช้วิธีการริหารที่องค์กรไปเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่มีกลุ่มต่าง ๆ ตัวบุคคล องค์กรอื่นและสถาบันประเภทอื่นทั้งหลายที่อยู่ภายในองค์กรและนอกองค์กร
การบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพมีเรื่องที่สำคัญที่ต้องพิจารณา 2 ประการคือ
ประการแรก ผู้บริหารต้องเข้าใจถึงลักษณะสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
ประการที่สอง ผู้บริหารต้องเข้าใจว่า องค์กรสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมอย่างไร โดยพิจารณาในแง่ของการพิจารณาปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ตามความหมายของพฤติกรรมองค์กร
การจัดชุดของทรัพยากรที่จะใช้งานในองค์กร
ในการจัดชุดทรัพยากรเพื่อใช้ในการบริหาร องค์กรจะมีวิธีการจัดที่แตกต่างกันออกไป โดยทรัพยากรต่าง ๆ สามารถที่จะนำมาพลิกแพลงและจัดทำขึ้นเพื่อสนองต่อแผนงานในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปสุดแต่ความเหมาะสม เช่น
อาจจะจัดเพื่อมุ่งให้เกิดการสนใจต่อผลิตภัณฑ์ หรือจัดเพื่อทุ่มเทมุ่งสู่ตลาดใดตลาดหนึ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ หรืออาจจะจัดขึ้นเพื่อทุ่มเทไปกับเทคโนโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ หรืออาจจะนำมาใช้กระจายไปยังสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาให้ครบทุกด้าน
กลยุทธ์ในฐานะเป็นเครื่องมือสำหรับใช้จัดให้สภาพแวดล้อมสอดคล้องกับทรัพยากร
การกำหนดจุดมุ่งหมายและนโยบายที่เกี่ยวกับความต้องการจะของบริษัทและธุรกิจที่บริษัทจะดำเนินนั้นเอง จากที่กล่าวมา ถ้าหากนำมากำหนดเป็นกรอบการคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์แล้ว จะปรากฏตามรูปแบบต่างๆ องค์กรจะมีการพิจารณาวิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพื่อที่ดูถึงข้อจำกัดต่างๆ ความต้องการและโอกาสต่างๆ ที่มีอยู่ การตรวจสอบสภาพแวดล้อมนี้ ในบางครั้งอาจจะมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดและจัดทำเป็นระบบ
กลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพ
กลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพที่จะทำให้การบริหารสามารถประสบผลสำเร็จได้อย่างดีในทุกสถานการณ์ และทุกเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมนั้น ลักษณะจะเป็นดังนี้ คือ
1. เป็นการบริหารเชิงรวมที่กระทำอย่างเป็นระบบที่มีการบริหารครบสมบูรณ์ทุกด้าน
2. เป็นการบริหารที่พร้อมสมบูรณ์ด้วย "แผนงาน" ที่มีประสิทธิภาพ ที่ซึ่งระบุออกมาโดยอาศัย "เป้าหมาย" (goals) เป็นเครื่องมือ แผนงานที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการให้ผู้ปฏิบัติได้มีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดเป้าหมายเหล่านี้ด้วย
3. เป็นการบริหารที่พร้อมสมบูรณ์ด้วย เทคนิคการจัดทำแผน การวัดผล การจูงใจ การควบคุม
การพัฒนานักบริหาร และการสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ได้อีกด้วย
ตามลักษณะทั้งสามประการข้างต้น ถ้าจะนำมาพิจารณาจัดทำเป็นกลยุทธ์การบริหารในทางปฏิบัติแล้ว อาจแยกเป็น "กลยุทธ์การบริหาร" ประการต่าง ๆ ดังนี้คือ
1. การใช้วิธีการบริหารอย่างเป็นระบบโดยอาศัย การบริหารโดยเป้าหมาย (MBO) เป็นเครื่องมือ
2. การอาศัย "แผนกลยุทธ์" เป็นเครื่องมือเสริมสร้างประสิทธิภาพผลผลิตระยะยาว
3. การใช้โครงสร้างเป้าหมายผลสำเร็จเป็นตัวเร่งผลผลิต
4. การอาศัยกระบวนการร่วมวางแผน และตั้งเป้าหมาย เพื่อให้พนักงานผูกพันต่อเป้าหมายผลสำเร็จ
5. การใช้วิธีจูงใจคนเพื่อเพิ่มผลผลิต
6. การอาศัยระบบการควบคุมแบบสร้างสรรค์
7. การเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการวางแผนทรัพยากรบุคคล และพัฒนาความสามารถทางการบริหาร
8. การเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยวิธีเสริมขวัญและกำลังใจ โดยอาศัยการให้โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่งานบริหาร
9. การใช้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพจากการบริหารพฤติกรรมองค์การโดยส่วนรวม
10. การเพิ่มประสิทธิภาพโดยการเรียนรู้และเอาชนะคู่แข่งขัน
11. การสร้างประสิทธิภาพ โดยปรับการบริหารให้สอดคล้องกับปัญหาในอนาคต
กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์การบริหารที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ละประการตามที่กล่าวข้างต้นนี้ อาจกล่าวได้ว่า ก็คือ การบริหารเชิงรวมที่เป็นภารกิจทางการบริหารของผู้บริหารที่มีอยู่เป็นพิเศษ ก็คือ
1. การใช้วิธีบริหารแบบมุ่งหมาย (goal-oriented management) เป็นสำคัญ ทั้งนี้ก็เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ประสบปัญหาวิกฤตินั้น ประสิทธิภาพผลผลิตที่ทำได้จะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่นักบริหารจะต้องวัดผล และติดตามตลอดเวลา การตั้งเป้าหมายผลสำเร็จที่ต้องการ และการติดตามผลงานที่ทำได้ต่างก็ต้องอาศัย เป้าหมายเป็นเครื่องมือที่จะขาดเสียมิได้
2. การจัดระบบการวางแผนที่สมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้องค์การ มีความเข้มแข็งจากการมีระบบการวางแผนกลยุทธ์สำหรับระยะยาว รวมทั้งการมีระบบการวางแผนที่สามารถระบุเป้าหมายผลสำเร็จต่าง ๆ ที่จะสามารถนำมาใช้บริหารงาน เพื่อผลสำเร็จร่วมกันทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายปฏิบัติ
3. การจัดระบบการบริหารงานในขั้นปฏิบัติที่ดีพร้อม นั่นคือ การใช้ระบบการวัดผล ประเมินผล การจูงใจทรัพยากรบุคคล ตลอดจนระบบการควบคุม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการเสริมสร้างประสิทธิภาพผลผลิตให้สูงขึ้นได้ตลอดเวลา
บรรยากาศในองค์กร
บรรยากาศในองค์กร จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย
ที่กำหนดไว้ ดังนี้
1. ความไว้วางใจ ความเชื่อถือ และความมั่นคงของบุคลากรทุกระดับ
2. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
3 .การให้การสนับสนุน
4. ความเปิดเผยในการสื่อสารจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
5. การรับฟังความคิดเห็นจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน
นักวิชาการหลายท่านได้เสนอบรรยากาศขององค์กรที่มีผลกระทบต่อการรับรู้ที่นำไปสู่การลงความคิดเห็นเกี่ยวกับบรรยากาศขององค์กร
บรรยากาศในองค์กรและความพึงพอใจในการทำงาน
บรรยากาศในองค์กร จะนำไปสู่ความพึงพอใจในการทำงาน เมื่อบุคลากรมีความสัมพันธ์
อันดีระหว่างกัน มีความเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์กรเป็นอย่างดี มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันสูง ย่อมส่งผลถึงการมีบรรยากาศในการทำงาน มีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น ผลงานดีขึ้น โดยที่บุคลากรไม่เบื่อหน่ายในการทำงาน และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี
การสร้างบรรยากาศในองค์กรกับความก้าวหน้าของบุคลากร
การสร้างบรรยากาศในองค์กรกับความก้าวหน้าของบุคลากร และการพัฒนาองค์กรจำเป็นต้องมีลำดับขั้นตอนในการดำเนินงาน เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กร ซึ่งพอสรุปได้ คือ
1. องค์กรควรจะกำหนดแผนระยะยาว ซึ่งในแผนนั้นจะต้องมีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง
2. องค์กรจะต้องกำหนดความต้องการด้านกำลังคนจากวัตถุประสงค์และเป้าหมาย เพื่อบุคลากรคนปัจจุบันจะได้เตรียมตัว หรืออาจแสวงหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อความก้าวหน้าในการทำงานของเขา
3. องค์กรควรทำการสำรวจบุคลากรที่มีอยู่ เพื่อจะได้รู้ว่าปัจจุบันมีกำลังคนลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร
4. องค์กรควรคำนึงถึงกำลังคนที่มีปัจจุบัน กับความต้องการกำลังคนขององค์กรในกิจการงานที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อจะได้จัดคนให้เหมาะสมกับงานหรือหน้าที่
5. องค์กรควรจะกำหนดโครงการฝึกอบรมตามความต้องการ เพื่อส่งเสริมบุคลากรให้มีความก้าวหน้าในการทำงาน หรือปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือการสรรหาบุคลากรเพิ่มเติมตามความจำเป็นขององค์กร
6. องค์กรควรจะสื่อสารบอกกล่าวให้บุคลากรรู้ถึงความต้องการกำลังคนประเภทต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรได้มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองเสมอ
7. องค์กรควรจัดรับสมัคร สัมภาษณ์ คัดเลือก และตระเตรียมบุคลากรให้อยู่ในสภาพพร้อมที่ทำงาน จัดทำคำบรรยายลักษณะงานไว้อย่างชัดเจน วางแผนงานให้เหมาะสมตามสภาพกำลังคนที่มีอยู่ และที่รับเข้ามาใหม่
8. องค์กรควรมีระบบตรวจสอบการสื่อภายใน เพื่อรักษาบรรยากาศขององค์กร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)